Evolution of Spread : บันทึกการวางไพ่

เวลาเราจะอ่านไพ่ หรือเรียกง่ายๆว่าดูดวง ก่อนอื่นก็คนไม่หนีการสับไพ่ บางคนให้สับตามอายุ บางคนก็ให้สับจนกว่าจะพอใจ หลังจากสับสลับไพ่จนพอใจแล้วก็ถึงเวลาการเลือกไพ่ และการวางไพ่ แต่ละคนก็จะมีวิธีการเลือกและวางไพ่ที่แตกต่างกันไป

  • บางคนอ่านแบบ 1 คำถาม 1 ใบ
  • บางคนอ่านแบบ 1 คำถาม 3 ใบ วางไว้เรียงกัน
  • บางคนอ่านแบบ 1 คำถาม 10 ใบ วางเป็นรูปร่างต่างๆ

แบบสุดท้ายน่าจะเป็นวิธีที่ฮิตที่สุดทั้งในและต่างประเทศ การวางไพ่แบบนี้เรียกว่า Celtic Cross Spread เป็นการวางไพ่สำหรับคำถามที่มีเรื่องราวซับซ้อน และต้องการมุมมองหลายๆอย่างเอามาประกอบกับ

Celtic_Cross_Spread_-_Waite.svg

Celtic Cross Spread

การวางไพ่แบบนี้ดีนะครับ มันตอบแทบทุกอย่างที่มีผลต่อคำถาม เช่น เรื่องในอดีต ต้นตอสาเหตุ มุมมองของคนอื่น ฯลฯ แต่ผมกลับไม่ค่อยได้ใช้วิธีวางแบบนี้เท่าไหร่ ที่ผมชอบใช่กลับกลายเป็น 1 คำถาม 3 ใบ แทน ซึ่งเรียบง่าย ตอบคำถามได้ค่อนข้างชัดเจน แถมเล่นพวกเรื่องธาตุ และความสัมพันธ์ของไพ่ได้ค่อนข้างง่าย เพราะไพ่ไม่เยอะ ไม่งง

3-Card-Spread.svg

3 Cards Spread

แต่เมื่อผมมีโปรเจคใหม่ ในการดูดวงรายเดือนผ่าน Youtube ปัญหาใหญ่ก็ตามมานั่นคือ จะวางไพ่อย่างไรให้วางครั้งเดียวแล้วอ่านได้ครบทุกเรื่อง ทั้งเรื่องงาน เงิน และความรัก นอกจากจะต้องตอบให้ครบทุกเรื่องแล้ว การวางไพ่ต้องได้รูปแบบที่สวยพอควร ไม่รก ไม่กระจัดกระจาย (เรื่องมากจริงๆ)

หลังจากคิดและปรับเปลี่ยนอยู่นาน ก็ได้การวางแบบที่คิดว่าโอเคที่สุด (ณ ตอนนั้น) กลายเป็นการดูดวงดวงรายเดือนโดยใช้ไพ่ 13 ใบ

  • 1 ใบเป็นสถานการณ์ทั่วไป เป็น Theme ใหญ่
  • 3 ใบ สำหรับเหตุการณ์สำคัญในแต่ละเรื่อง ทั้งเรื่องงาน เงิน ความรัก อย่างละ 3 ใบ
  • 1 ใบเป็นคำแนะนำแต่ละเรื่อง เรื่องละ 1 ใบ

View this post on Instagram

Evolution of my Tarot Spreads ???

A post shared by LunarMagus (@notkung_nois) on

การวางไพ่แบบนี้ใช้มาแล้ว 3 เดือน กับทั้ง 12 ราศี คิดว่าโอเคพอสมควร แต่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้ในวันข้างหน้า

การเปลี่ยนการวางไพ่นั้นไม่ได้หมายความว่า การวางไพ่เดิมนั้นไม่แม่นยำ บางครั้งเมื่อเราใช้ไปนานๆ เราจะรู้สึกตัวเองว่า การวางไพ่แบบนี้ อะไรที่มันมากไป อะไรที่มันยังขาดอยู่ การเปลี่ยนการวางไพ่นั้นเป็นการแก้ไขเพื่อให้การอ่านไพ่ดียิ่งขึ้น ครอบคลุมทุกปัญหา และอ่านง่ายขึ้นด้วย

เพราะฉะนั้นถ้าใครแวะเข้าไปดูใน Channel ของผมแล้วเป็นการวางไพ่ที่เปลี่ยนไป ก็อย่าตกใจ เพราะผมคิดว่ามันน่าจะมีอะไรที่สามารถทำให้การอ่านไพ่นั้นดีขึ้นไปได้อีก

(ปล. อย่าลืมเข้าไปให้คำแนะนำ กด Like กด Share กด Subscribe กันเยอะๆนะครับ)

The Empress : เรื่องราวของแม่และลูก (มะม่วง)

ทุกปีบ้านมะม่วงที่หลังบ้านผมจะออกลูกมาทุกปี และไม่ว่าจะปีไหนๆผู้ที่ดูแลการออกดอกออกผลของมันก็คือแม่ของผมเอง แม่ตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปรดน้ำต้นไม้ พอเริ่มออกผลก็คอยแต่งกิ่ง แต่งก้านเพื่อให้ผลมะม่วงที่กำลังเติบโตนั้นเป็นผลที่ใหญ่และน่ากินที่สุด บางกิ่งที่ลูกเยอะจนทำให้กิ่งโน้มลงมา แม่ของผมก็ยังอุส่าห์ ปีนขึ้นต้นไม้เพื่อใช้เชือกรั้งกิ่งพวกนั้นเอาไว้ เป็นภาพที่แสดงถึงการเอาใจใส่และถนุถนอมได้เป็นอย่างดี

แต่อีกมุมหนึ่งที่ใครอาจจะไม่ได้เห็น หรือไม่ได้รู้นั่นคือ แม่หวงมะม่วงเหล่านั้นมาก เวลาจะแบ่งใครต้องคิดแล้วคิดอีก ต้องเลือกลูกสวยๆ เก็บไว้ เป็นเหตุให้ไม่ค่อยมีใครแถวบ้านได้กิน และมีมะม่วงเหลือค้างอยู่ในตะกร้าในครัวเป็นสิบๆลูก

พอเห็นสิ่งที่แม่ทำกับมะม่วงแล้วทำให้คือถึงไพ่ใบที่ 3 ของไพ่ Tarot : The Empress

The Empress เป็นไพ่หมายเลข 3 ซึ่งเลข 3 โดยส่วนใหญ่จะหมายถึงการสร้าง การผลิต หรือแม้แต่การให้กำเนิด และบวกกับหน้าไพ่ที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์และความอ่อนโยนของคนใบภาพ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไพ่ใบนี้สามารถแสดงถึงความเป็นแม่ผู้มีความรัก ความเอาใจใส่ เสียสละและเป็นผู้ให้จริงๆ

แต่ไพ่ทุกใบย่อมมีสองด้าน ไพ่ใบนี้ที่ดูดีแต่ก็มีอีกด้านเช่นเดียวกัน (เหมือนแม่ของผม)

ไพ่ใบนี้ Golden Dawn ได้กำหนดให้พระจันทร์มีความสัมพันธ์กับดาวศุกร์ ในด้านดีนั้น อาจจะหมายถึงความสวยงาม ความกลมกลืน อะไรๆก็ดูดีไปหมด แต่อีกด้านหนึ่งนั้นกลับเป็นความลุ่มหลงในวัตถุที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้นมา ความรักของ The Empress ถ้ามีมากไปจะกลายเป็นความรักที่ต้องการจะครอบครอง รักมากจนเกินไป จนบางครั้งอาจจะมีผลกระทบกับผู้อื่น

การที่เรารักและเอาใจใส่ บางครั้งก็หวงแหนกับสิ่งที่เราสร้างขึ้นมากับมือ มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรมดา แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราแบ่งผลงานของเราให้คนอื่นได้ชื่นชมบ้าง ดีไม่ดีเราอาจจะได้รู้ว่า คนเหล่านั้นก็รักและชื่นชมในตัวผลงานของเราหรือแม้แต่ตัวเราด้วยเช่นกัน

จะดีกว่าไหมถ้าสิ่งที่เราทำได้รับความรักจากคนอื่นด้วย แทนที่เราจะชื่นชมมันอยู่คนเดียว

ว่าไปแล้วก็แอบไปสอยมะม่วงไปแจกให้เพื่อนบ้านดีกว่า…

High Priestess : เรื่องราวหลังผ้าม่าน

พระจันทร์มีเรื่องที่แปลกและน่าสงสัยอยู่หลายเรื่อง แต่ทุกเรื่องก็ล้วนแต่น่าสนมจและน่าค้นหา บางครั้งพระจันทร์ไม่ได้แค่ทำหน้าที่ส่องสว่างยามค่ำคืน หรือแค่ทำให้น้ำขึ้นน้ำลงเพียงอย่างเดียว บางครั้งพระจันทร์ก็ได้ให้แนวคิดอะไรแปลกๆกับเราได้เหมือนกัน

สิ่งที่น่าแปลกอย่างหนึ่งของพระจันทร์คือ พระจันทร์ไม่เคยหันอีกด้านหนึ่งของมันให้โลกเราเห็นเลย ตลอดเวลาที่พระจันทร์ส่องแสง (หรือจะเรียกว่าสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์) เราจะเห็นลวดลายคล้ายกระต่ายอยู่เสมอ ไม่ว่ากี่เดือนกี่ปี ก็ยังเป็นเหมือนเดิม เหมือนกันว่ามันจงใจที่จะแสดงให้เห็นเพียงด้านหน้า และพยายามที่จะแอบซ่อนอะไรซักอย่างที่อยู่เบื้องหลังของมัน แน่นอนว่ามีใครหลายต่อหลายคนจินตนาการไปว่ามีอาณานิคมซ่อนอยู่เบื้องหลังของพระจันทร์

https://en.wikipedia.org/wiki/Moon

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชาวโลกได้มีโอกาสสำรวจดาวที่น่าสงสัยนี้ได้ดียิ่งขึ้น จนได้รับรู้ว่า ไม่มีอาณานิคม หรือความลึกลับใดๆที่อีกด้านหนึ่งของพระจันทร์ นอกจากพื้นที่ที่ว่างเปล่าและไร้ลวดลายใดๆ

ด้านหลังของพระจันทร์

ไพ่ High Priestess ก็เช่นกัน Golden Dawn ได้กำหนดให้พระจันทร์มีความสัมพันธ์กับไพ่ใบนี้ หากเราพิจารณาที่หน้าไพ่ใบนี้ดีๆเราจะเห็นว่ามีความสอดคล้องกันระหว่างพระจันทร์กับหน้าไพ่ นั่นคือผู้หญิงที่อยู่หน้าไพ่นั้น นั่งอยู่บริเวณหน้าผ้าม่านที่ดูเหมือนพยายามปิดบังอะไรอยู่เบื้องหลัง เหมือนกับพระจันทร์ ที่พยายามแสดง หรือเผยให้เห็นเพียงที่อยากให้เห็นเท่านั้น ยังคงมีความลึกลับที่ซ่อนอยู่ภายใน

p_20180228_100346_1_1432341925.jpg
ใครจะรู้ว่า เบื้องหลังนั่นจะมีอะไรซ่อนอยู่ บางคนอาจจะนึกถึงขุนทรัพย์ องค์ความรู้ หรืออาจจะเป็นกุญแจสำคัญต่างๆที่สามารถตอบคำถามต่างๆในจักรวาลนี้ได้

แต่บางครั้งก็อาจจะไม่มีอะไรซ่อนอยู่เลยเช่นกัน…

ดังนั้น เมื่อไพ่ใบนี้ปรากฎขึ้น มันอาจจะหมายถึงความลึกลับ เป็นปริศนา อาจจะมีความไม่ชัดเจน ไม่แน่นอนเกิดขึ้น หากเป็นเรื่องงาน ทุกอย่างอาจจะดูนิ่ง แต่รู้สึกเหมือนมีอะไรแอบแฝงอยู่ ถ้าเป็นเรื่องความรัก มันอาจจะไม่ชัดเจน จนแอบสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ความสงสัยในความไม่ชัดเจนเหล่านี้จะทำให้เรารู้สึกอ่อนไหวทางอารมณ์ รู้สึกไม่มั่นคง เหมือนที่พระจันทร์ทำให้น้ำบนโลกขยับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่การคาดเดา หรือคาดหวังสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความสงสัยเหล่านั้น แต่เป็นการตั้งสติ ควบคุมอารมณ์ไม่ให้ถูกควบคุมโดยความไม่ชัดเจน และเตรียมพร้อมรับมือกับความจริงที่จะแสดงออกมาได้ตลอดเวลา (ไม่ว่ามันจะเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ก็ตาม)

สุดท้าย มันอาจจะไม่มีอะไรซ่อนอยู่ในหลังม่านเลยก็ได้ ในกอไผ่ก็เช่นกัน

bamboo-forest-1245966_1280.jpg

The Magician – จงกล้าที่จะทำให้(ดู)เก่ง

นักมายากลมักสร้างเหตุการณ์อะไรให้ประหลาดใจได้เสมอ บางครั้งก็เสกของออกมาจากความว่างเปล่า บางครั้งก็ทำให้ของหายไป ราวกับว่าเขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้ ตั้งแต่วัตถุเล็กๆ จนถึงความคิด จิตใจผู้ชม

การเป็นนักมายากลที่เก่งกาจจนดูเหมือนมีเวทมนต์ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่แต่เทคนิคที่ใช้กับวัตถุเท่านั้น นักมายากลต้องมีเทคนิคในการควบคุมจิตใจของผู้คนด้วยเช่นกัน

หากพิจารณาจากไพ่แล้ว เราจะเห็นได้ว่า Magician ของเราได้ยืนอยู่ต่อหน้าไม้เท้า ดาบ ถ้วย และเหรียญ ซึ่งหมายถึงการควบคุมธาตุทั้งสี่ แต่ถ้าจะให้ชัดกว่านั้น เขาสามารถคุมจิต ความคิด อารมณ์ และวัตถุได้อย่างดีเยี่ยม

27781903_10214156001109399_480870347_n

เพราะฉะนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า Magician แสดงถึงผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และชอบแสดงออกมาให้ทุกคนได้รับชมกัน เป็นพวกแถวหน้ากล้าคิดกล้าแสดงออก แบบโดดเด่นซะด้วย

แต่อย่างที่เรารู้ นักมายากล ไม่ได้มีเวทมนต์ แต่เขาแสดงให้เห็นว่าเขามี จึงทำให้บางครั้ง Magician ได้ความหมายที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และค่อนข้างขึ้นชื่อว่าเป็นจอมลวงโลก นั่นก็เป็นความหมายเชิงลบแบบสุดโต่งสุดๆ (ถ้ามีไพ่ 7 ดาบ กับ Devil ล่ะก็ใช่เลย)

ดังนั้นเวลาไพ่ Magician ขึ้นมาแนะนำอะไรซักอย่าง คงต้องบอกว่า จงแสดงความสามารถให้คนอื่นได้เห็น ว่าเราเก่งแค่ไหน (ไม่ก็ จงแสดงความสามารถให้คนอื่นได้เชื่อ ว่าเราดูเก่งแค่ไหน)

The Fool เริ่มใหม่แบบไม่มีอะไรเลย

สวัสดีปีใหม่ ปี 2018 เป็นอีกหนึ่งปีที่ผ่านไปแบบงงๆ ไม่น่าเชื่อว่าปี 2017 นั้นมันจะผ่านไปเร็วขนาดนี้

ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ค่อนข้างที่จะทุ่มเทในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง Tarot ในปีที่ผ่านมาก็ได้ศึกษาเรื่องเกี่ยวกับไพ่มาตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความหมาย เทคนิค การวางไพ่ แม้แต่เทคนิคความสัมพันธ์ของเลข ธาตุ และโหราศาสตร์ ยิ่งทำให้รู้สึกว่า Tarot มันมีอะไรให้ศึกษาเยอะมากจนบางทีแทบจจะจับทางไม่ถูกว่าเรื่องไหนเชื่อมกับเรื่องไหน หรือพอศึกษาจบแล้วก็ไปต่อไม่ถูกว่าต้องรู้อะไรต่อ

แต่พอได้ศึกษาอะไรมาเยอะ ก็เริ่มมีคำถามเดิมๆที่เคยคิดไว้เมื่อนานมาแล้วว่า แล้ววิธีไหนได้ผลสุด แบบไหนแม่นสุด พอลองใช้สิ่งที่ศึกษามา เคร่งครัดในหลักการ มันก็ได้ผลออกมาที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางครั้งมันก็ทำให้เรายึดติดจนอ่านไพ่ไม่ออกเลยก็มี แล้ววิธีที่ศึกษามาเพิ่มนี้มันใช้ได้จริงหรอ

จนมานึกถึงวันแรกๆที่เริ่มอ่านไพ่ วันที่ไม่มีหลักการอะไรเลย แต่มันกลับทำให้การอ่านไหลลื่นแบบไม่ติดขัด หรือว่าการที่ไม่ยึดติดกับอะไรมันจะดีกว่า

หากเปรียบเทียบกับไพ่ Major ทั้ง 22 ใบ ตอนนี้ก็คงคิดว่าอยู่ที่ The World มันตัน มันมีกรอบ เรารู้ว่ามันมีเทคนิคที่สวยงาม และน่าใช้มากมายอยู่รอบตัว แต่เราจะใช้มันอย่างไรไม่ให้มันรัดตัวจนขัดขวางการอ่านไพ่ของเรา

พอลองมองไพ่ และลองนึกต่อไป เหมือนเคยอ่านที่ไหนซักที่ว่า The World นั้นเป็นจุดสิ้นสุดของสิ่งที่เราทำอยู่ มันไม่ใช่จุดสิ้นสุดจริงๆ มันเป็นปลางทางที่พร้อมจะให้ต้นทางของเส้นทางอื่นมาเชื่อมต่อให้เราเดินต่อไป เปรียบเหมือนวันสิ้นปี ที่ไม่ได้จบแล้ววันเวลาหายไป แต่เป็นวันที่พร้อมที่จะให้วันต้นปีของปีถัดไปมาเชื่อมต่อให้เราดำเนินชีวิตต่อไป

บางทีปีที่แล้วอาจจะเป็นจุดสิ้นสุดของการศึกษาเทคนิคต่างๆ เพื่อให้ปีนี้กลับมาเป็น The Fool อีกครั้ง เริ่มต้นในแบบของตัวเอง เริ่มต้นโดยไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องเคร่ง ปล่อยให้สัญชาตญาณเป็นตัวดึงเทคนิคเหล่านั้นออกมาเอง

เอาล่ะ ลองกันใหม่ ลองออกจากกรอบอันสวยหรูของ The World และมาเดินทางแบบ The Fool กันใหม่

แบบไม่มีอะไรเลย….

Screenshot_20170715-222052

11.11 ความขัดแย้งที่ซ่อนในความสมดุล

วันนี้วันที่ 11.11.2017 เป็นวันที่ร้านค้า ในห้าง หรือแม้แต่ร้านค้าออนไลน์ได้แจกโปร ลดราคากันถล่มทลาย แถมยังมีแรงเสริมจากโปรของรัฐ ชอปช่วยชาติ ยิ่งทำให้วันนี้ช่างดูอลม่านเหลือเกิน แม้แต่ไพ่หลายๆสำรับก็ลดราคาเช่นกัน แม้ว่าจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้บัตรในมือสั่นเป็นเจ้าเข้าได้เหมือนกััน 55555

เลข 11 ในไพ่ Tarot นั้น ถ้าเป็น Deck ของ RWS ทุกคนคงรู้ว่ามันคือไพ่ Justice ไพ่แห่งความยุติธรรม ความถูกต้อง หรือแม้แต่ความสมดุล หากสังเกตดีๆ การจัดวางไพ่ของ RWS ของไพ่ใบนี้ค่อนข้างที่จะพิเศษ คือเมื่อเราเรียงไพ่หลัก Major จาก 1-21 ไพ่เบอร์ 11 นี้จะอยู่ตรงกลางพอดี ได้สมชื่อว่าเป็นไพ่แห่งความสมดุลจริงๆ

แต่ว่ามี Deck หนึ่งที่มีการจัดเรียงต่างกันออกไป นั่นคือ Thoth Tarot ไพ่แห่งความสมดุลนั้นไม่ได้อยู่ที่เบอร์ 11 แต่กลับอยู่ที่หมายเลข 8 แทน ซึ่งสาเหตุที่ไพ่ใบนี้ถูกเปลี่ยนตำแหน่งนั้น คนที่สร้างสำรับนี้ (Aleister Crowley) ขึ้นมาค่อนข้างที่จะมีเหตุผลที่ลึกซึ้ง (และ make sense!!) ซึ่งเกี่ยวโยงกันหลายเรื่อง ซึ่งไว้โพสต่อๆไปจะนำมาเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง

แต่พอมองอีกมุมหนึ่ง ไพ่ความสมดุลหมายเลข 8 ของ Thoth ก็ยังมีความสมดุลอยู่ เช่น หมายเลข 8 ก็มีสมมาตรอยู่ในตัว หรือถ้าเราแบ่งไพ่ Major เป็น 3 แถวตามแนวตั้ง ไพ่หมายเลข 8 จะเป็นหัวแถวของแถวที่ 2 ก็เป็นแถวกลาง และทำตัวเหมือนหมุดของ ตาชั่ง ที่อยู่ตรงกลางระหว่างแถวทั้ง 2 มองแบบนี้ก็ได้เหมือนกัน

นอกจากไพ่เบอร์ 11 เจ้าปัญหานี้แล้ว ส่วนตัวผมเองก็ยังเจอปัญหาอื่นๆที่เกี่ยวกับความสมดุล ไม่ได้เป็นเพียงแค่ไพ่เบอร์ 11 เท่านั้น ตัวอย่างด้านล่าง เป็นเพียงความเห็นที่ผมเองสงสัยเท่านั้น จากที่ได้เรียนและรับรู้มา

อย่างแรกคือการ Assign ดาวให้กับไพ่แต่ละใบ ซึ่งหากเรียงลำดับ (อ้างอิงจาก RWS จะได้เป็น)

  • พุธ จันทร์ ศุกร์ พฤหัส อังคาร อาทิตย์ เสาร์

แต่ถ้าการ Assign ดาวให้กับไพ่อ้างอิงกับโหราศาสตร์จริง ลำดับดาวควรจะเป็นไปตาม Chaldean Order นั่นคือ

  • เสาร์ พฤหัส อังคาร อาทิตย์ ศุกร์ พุธ จันทร์

แต่อย่างไรก็ตาม การ Assign ดาวนั้น บางส่วนก็มาจากภาพของไพ่และการ Assign Hebrew Letter ด้วย

อีกอย่างที่น่าสนใจคือความสมดุลของไพ่ดี ไพ่ร้าย อาจจะไม่ได้หมายถึงความหมายตรงๆ แต่เป็นอารมณ์ของไพ่ หากพิจารณาให้ดีจะเป็นว่าไพ่ดาบมีความหมายแง่ลบค่อนข้างเยอะกว่าไพ่ Suit อื่น

ยังมีความขัดแย้ง ปัญหาที่คาใจอีกมากที่ผมยังคงสงสัยอยู่ แต่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมไพ่ที่แอบซ่อนความขัดแย้งพวกนี้ มันถึงมีเสน่ห์ และทำให้เรารู้สึกว่ามันกลมกลืน ไปด้วยกันได้ บางทีความขัดแย้งเล็กๆนี้อาจจะกำลังช่วยปรับสมดุลให้กับไพ่ Tarot ก็เป็นได้

Hangman กับเรื่องราวของการเสียสละ

วันก่อนได้มีโอกาสได้ไปบริจาคเลือดมา นับเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ไม่ได้บริจาคมาตั้ง 10 ปี ทำเอาเตรียมตัวไม่ถูกเลยทีเดียว ตอนแรกใจนึงก็กลัวไม่อยากไป แต่อีกใจก็อยากบริจาค เพราะไม่ได้บริจาคมานานมากๆ และถือโอกาสทำบุญในเดือนเกิดด้วยไปในตัว

พูดถึงการบริจาคเลือด เมื่อตอนประมาณต้นเดือนได้ทำการจับไพ่ดูแนวโน้มของเดือกันยายนนี้ ว่าจะมีเหตุการณ์หรือคำแนะนำอะไรบ้าง และไพ่ที่ได้ออกมาในสัปดาห์แรกนี้น่าสนใจมาก นั่นคือไพ่ Hangman

โดยปกติไพ่ Hangman ถ้าด้วยความรู้สึกของไพ่จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แค่จากหน้าไพ่ก็ดูรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวแล้ว แต่แม้ว่าจะโดนห้อยหัวอยู่ หน้าตาก็ยังเรียบเฉยๆ ไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ อาจจะแปลได้ว่าถึงเวลาต้องอยู่นิ่งแล้วอยู่กับความคิดของตัวเองซะบ้าง หัดมองดูอะไรในมุมมองใหม่ๆบ้าง

ความหมายที่น่าสนใจอีกอย่างคือ อาจจะต้องมีการเสียสละตัวเอง นี่คือสิ่งที่น่าสนใจ และตรงกับเหตุการณ์ที่ไปบริจาคเลือดพอดี

นอกจากนี้พอคิดต่อไปอีก ก็พบว่าไพ่ Hangman ยังเป็นไพ่ธาตุน้ำ ซึ่งจริงๆควรจะหมายถึงอารมณ์ ความรักต่างๆ แต่ก็คิดว่าสามารถแทนได้ถึงการเสียสละ หรือการบริจาคสิ่งที่เป็นของเหลวอย่างเลือดได้เหมือนกัน

ระหว่างการบริจาคก็ได้เห็นคนที่มาบริจาแต่ละคน ค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่นักศึกษา พนักงาน พ่อค้าแม่ค้า แม้กระทั่งพระก็ยังมาบริจาคเลย ทำให้รู้สึกดี และอยากที่จะมาบริจาคอีกหลายๆครั้งเลยทีเดียว

สรุปแล้วแม้ว่า Hangman จะแปลว่าเสียสละ แต่การเสียสละครั้งนี้ก็ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดทางใจแต่อย่างใด แถมยังทำให้รู้สึกดีอีกด้วย เพราะฉะนั้นคราวหน้าเมื่อเจอ Hangman บางครั้งอาจจะหมายถึงการบริจาค หรือการเสียสละในทางที่ดีก็ได้

ปล. เนื่องจากไพ่ที่หยิบขึ้นมา นอกจาก Hangman ยังมี 3 Cups, 6 Pentacle และ 1 Cup ซึ่งทุกใบเป็นไพ่ที่ค่อนข้างดี น่าจะสามารถดีความหมายเชิงบวกของ Hangman ออกมาใช้ได้

The Fool ผู้เป็น 0

**** หมายเหตุ : ส่วนใหญ่ในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน หากจะนำไปอ้างอิงควรตรวจสอบกับแหล่งอื่นๆเพิ่มเติมนะครับ ****

The Fool ไพ่ใบแรกสุด (หากอ้างอิงตามระบบของ Rider Waite Smite) หมายเลขที่จัดให้แก่ไพ่ใบนี้คือหมายเลข 0 ถ้าแปลง่ายๆคือ ไม่มีอะไร และว่างเปล่า

โดยปกติแล้วไพ่ The Fool หงายขึ้นมาก็จะมีความหมายหลายๆอย่างพุ่งเข้ามาในหัวเช่น กล้าที่จะเริ่ม ไม่ระมัดระวัง เอาแน่เอานอนไม่ได้ ซึ่งตามหน้าไพ่ก็แสดงออกถึงอาการแบบนั้นจริงๆ (ใครบ้างที่ยืนอยู่หน้าผาแล้วยังไม่หยุดเดิน)

Screenshot_20170715-222052

แต่พอได้ศึกษาไพ่ไปซักพักก็เริ่มคิดอะไรได้อีกหลายๆอย่างเกี่ยวกับไพ่ใบนี้

เริ่มจากที่เลข 0 ก่อนละกัน

เลข 0 คืออะไร อาจจะไม่ต้องยกเอาความหมายเชิงคณิตศาสตร์มาอ้างอิงก็คงรู้ว่าเลข 0 คือ ไม่มีอะไร ไม่มีค่า ว่างเปล่า ถ้าเทียบเป็นของก็อาจจะเป็นกล่องเปล่า กระดาษเปล่า หรือแก้วเปล่า อะไรก็ตามแต่ที่ดูแล้วว่างๆโล่งๆ ไม่มีวัตถุใดๆให้เราเห็น ลักษณะของ The Fool ก็คล้ายๆ นั้นคือ ไม่มีอะไรเลยที่จับต้องได้ ไม่มีความเป็นตัวตน ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความคิด ไม่มีอะไรเลย….

ไม่มีความเป็นตัวตน

The Fool เป็นอะไรที่ล่องลอยมาก ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร อยากเป็นอะไร ไม่มีแรงบันดาลใจหรือเป้าหมายใดๆเลย ล่องลอยร่อนเร่ไปเรื่อยๆเหมือนในภาพ

ไม่มีความรู้สึกใดๆ

The Fool ไม่ค่อยสนใจใคร อาจจะเป็นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะสนใจไปทำไม จึงไม่ค่อยมีความรู้สึกร่วมกันใครๆเท่าไหร่ ความรู้สึกจึงค่อนข้างว่างเปล่า

ไม่มีความคิดใดๆ

The Fool แทบจะไม่ค่อยคิดเรื่องอะไร ไม่ว่าสิ่งนั้นควรเป็นสิ่งที่ต้องคิดหรือไม่ ไม่คิดแม้ว่าตัวเองจะตกอยู่ในอันตรายหรือความเสี่ยงหรือเปล่า

ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

แม้แต่ด้านทรัพย์สินของ The Fool เองก็แทบจะไม่มีอะไรเหมือนกัน พอดูๆไปแล้วช่างเป็นคนที่ ไม่มีอะไรเลย ตั้งแต่ระดับวิญญาณจนทรัพน์สิน ช่างเป็นคนที่ว่างเปล่าจริงๆ

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

แต่ถึงแม้ว่า The Fool จะ 0 สนิท ชนิดว่า มีอะไรในชีวิตบ้างไหม (555555+) แต่พอลองนึกถึงเลข 0 อีกครั้ง ถ้าเรายังพอจำได้ เลข 0 จะมีสิ่งที่พิเศษกว่าเลขอื่นๆตรงที่ว่า ไม่ว่ามีอะไรมาบวกกับมัน จะได้ค่าเดิมเสมอ เช่น 1+0=1 หรือเมื่อเราเอาของซักสิ่งหนึ่งไปวางในที่ที่ว่างเปล่า จากที่ไม่มีอะไรเลยก็จะมีสิ่งของหรือตัวตนขึ้นมา

เพราะฉะนั้นนอกจากเราจะตีความ The Fool ว่าเป็นคนที่ไม่มีอะไรเลย เรายังสามารถตีความได้ว่า เป็นคนที่พร้อมที่จะเป็น พร้องที่จะรู้สึก พร้อมที่จะคิด และพร้อมที่จะมีได้ทุกอย่าง เพราะเขาเริ่มจากที่ไม่มีอะไรเลย ดังนั้นเวลา The Fool ได้รับอะไรมา เขาจะป็นสิ่งนั้นทันทีโดยไม่มีอคติในๆเข้ามาปน เช่น ถ้าเราบอก The Fool ว่าเป็นคนดี เขาก็จะคิดว่าเขาเป็นคนดีจริงๆ

แต่ความพร้อมในการเป็นสิ่งใดๆของ The Fool ไม่ใช่ว่าเขามีทุกอย่าง แต่เพราะเขาไม่มีอะไรเลยซักอย่าง เขาจึงรับได้หมด (ไม่มีแม้แต่ความคิดว่าสิ่งที่รับมามันจะดีหรือแย่ 55555)

หากเปิดไพ่มาเจอ The Fool แล้วจะทำยังไง ไพ่ใบนี้สามารถทำได้ทั้งแนะนำและเตือนในเวลาเดียวกัน ไพ่อาจจะแนะให้อย่าคิดอะไรมากมาย ทำตัวว่างๆ ปล่อยวางซะบ้าง หรือเตือนว่าตอนนี้เราละเลย ประมาทมากเกินไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านความคิด อารมณ์ แม้แต่เรื่องเงิน

สรุปแล้ว The Fool เป็นคนโง่หรือเปล่า ก็อาจจะไม่ หรือจะเป็นคนบ้า ก็ไม่แน่ แต่ที่แน่ๆคือ เขาไม่เป็นอะไรเลย แม้กระทั่งตัวของตัวเอง มันเป็นไพ่ที่ไม่ได้แย่นัก แต่ก็ไม่ได้ดีจนน่าทำตาม

จริงๆมีอะไรในหัวเกี่ยวกับ The Fool อีกเยอะ โดยเฉพาะเรื่องที่อ่านมาจากหนังสือของ Waite และ Golden Dawn ถ้านึกได้จะมาต่อ Part 2 ละกันนะ

Other : บันทึก ณ จุดเริ่มต้น

ย้อนกลับไปเมื่อสมัยยังเด็กๆ ตอนนั้นยังเป็นเด็ก Nerd ธรรมดาที่ชอบอ่านหนังสือ ทดลองวิทยาศาสตร์ เล่นเกมไปเรื่อยตามประสาเด็กๆ เมื่อก่อนนั้นยังไม่มีความเชื่อแม้แต่เรื่องผี หรือเรื่องเวทมนต์เลยด้วยซ้ำ

แต่พอมาวันหนึ่งลุงได้พาไปที่ท้องฟ้าจำลอง แถวๆเอกมัน และได้ดูดาวในท้องฟ้าจำลองเป็นครั้งแรก พร้อมกับรู้จักระบบสุริยะ ทำให้เกิดความสงสัยในใจว่า พวกนี้มันคืออะไร แล้วมันต้องมี 9 ดวง (ไม่รวมโลก)คำถามอะไรต่อมิอะไรก็ผุดขึ้นเต็มหัวไปหมด

แล้วแถวๆนั้นก็ดันมีร้านหนังสืออยู่ จากการที่เป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วก็เลยแวะเข้าไปหาหนังสือที่เกี่ยวกับดาว อวกาศอะไรทำนองนี้ จากที่คาดหวังว่าจะได้หนังสือเกี่ยวกับดาวอย่างเดียว ดันได้หนังสือที่เกี่ยวกับโหราศาสตร์มาด้วยซะงั้น (ซึ่งหนังสือเล่มนั้นกะว่าจะถ่ายมาให้ดู แต่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้) เลยทำให้รู้ว่า นอกจากดาวที่เราเห็นในระบบสุริยะแล้ว ยังมีกลุ่มดาวอีก 12 กลุ่ม แถมแต่ละกลุ่มยังมีความหมายที่เกี่ยวกับการทำนาย การทายนิสัยอีกด้วย

นั่นคือจุดที่เริ่มรู้จักกับการทำนายโดยใช้ราศีเป็นครั้งแรก แต่เนื่องจากยังเด็กเลยไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดเท่าไหร่ แต่ก็สามารถท่องชื่อดาว สัญลักษณ์ของดาว และราศีได้ครับทุกตัว แต่เขียนได้อีกด้วย

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

จากนั้นพอขึ้น ม.ต้น ก็เริ่มรู้จักเรื่องของเวทมนต์มากขึ้นผ่านหนังสือ Harry Potter ประกอบกับเจอเพื่อนที่ชอบเรื่องนี้เหมือนกันก็เลยได้รู้จักทั้งการประกอบพิธี คาถา และการทำนายแบบต่างๆ (ถึงแม้ตอนนั้นจะยังเด็กแต่ก็ดูจริงจังมากๆ 5555)

ตั้งแต่นั้นมาก็เลยชอบเรื่องการทำนายมาโดยตลอด โดยอุปกรณ์ชิ้นแรกที่ซื้อมาคือ หนังสือ “Book of answer” หรือชื่อภาษาไทยว่า “ที่นี่ มี คำตอบ”

IMG_20161023_213743

เป็นหนังสือที่ให้คำตอบแบบกว้างๆ ถ้าเปรียบง่ายๆคงเหมือนเซียมซี แต่ข้อความสั้นกว่ามาก เป็นหนังสือที่ใช้เวลาอยากได้คำแนะนำ หรือยืนยันคำตอบก็ใช้ได้เหมือนกัน

ชิ้นที่ 2 ที่ได้มาติดๆกันนั้นคือไพ่ RWS Tarot ของอาจารย์ขุนทอง ที่มากับหนังสือ “ตำรายิปซี ภาคพิศดารปี 2000” ตอนนี้หนังสือไม่รู้หายไปไหนแล้ว แต่ไพ่ยังเก็บรักษาไว้อยู่ เป็นไพ่ที่หนามาก และทนพอสมควร ทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่เลย (ไม่น่าเชื่อว่า 17 ปีแล้ว 55555)

wp-1496935974500.jpg

แต่พอขึ้น ม.ปลายก็ไม่ได้แตะต้องของพวกนี้อีกเลย จะกระทั่งทำงาน นับเวลารวมก็ประมาณเกือบ 10 ปี (โอ้แม่เจ้า) ที่ได้กลับมาจับของพวกนี้อีกก็คงเป็นเพราะได้ไปดูดวงกับเพื่อนคนนึง แล้วเหมือนได้ความประมาณว่าอาจจะได้เป็นเจ้าสำนัก ร่างทรงอะไรพวกนี้ ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องการดูดวงหรือเปล่า แต่ก็ยังไม่มั่นในเท่าไหร่

พอกลับมาบ้านเลยคิดว่าลองหาดูซักหน่อย เผื่อยังไม่ได้ทิ้งไป เลยลองเดินไปที่ตู้เก็บของ (ที่เก่าและไม่ได้เปิดมานานมาก) พอเปิดปุ๊ปก็เจอปั๊ปเลย ความรู้สึกตอนนั้นคือ “อืมมมม คงใช่แล้วล่ะ” เป็นการต้อนรับการกลับมาที่รวดเร็วดีจริงๆ

หลังจากนั้นก็ได้เริ่มศึกษาเรื่องไพ่อย่างจริงจัง(มากๆ) เนื่องจากเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว (แต่ไม่ค่อยไดอ่านไพ่ 5555) เลยได้รู้อะไรเกี่ยวกับไพ่เยอะมาก ทั้งด้านที่เกี่ยวกับการทำนาย และที่ไม่เกี่ยวกัน บางเรื่องก็ทำให้เราได้อึ้งเหมือนกันว่าสิ่งที่เราเคยเชื่อมา มันไม่ใช่เลย

ดังนั้น หลังจากที่ร่าย มินิประวัติการเข้ามาในวงการนี้ของตัวเองมาตั้งนานแล้ว หลังจากนี้อาจจะทยอยเขียนเรื่องไพ่ในแนวความคิดของตัวเองบ้าง บางทีอาจจะไม่ตรงกับในหนังสือ(ของไทย) หรือบางทีอาจจะไม่ตรงกับของใครเลยก็ได้ โดยส่วนตัวคิดว่าไพ่มันไม่ได้มีความหมายเดียว และมันยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกเยอะมากที่ต้องตามไปขุดมาศึกษา หวังว่าจะทำได้ครบทุกใบ (และอาจจะทุกสำรับ ถ้ามีกำลังพอ 555555)

ปล.หากใครที่เข้ามาอ่าน ก็ขอขอบคุณมากที่อ่านมาได้จนถึงตรงนี้ หลังจากนี้ไปคงไม่ใช่เรื่องของตัวผมเองละ จะเป็นเรื่องของไพ่มากกว่า ถ้าใครสนใจการเขียนแนวนี้ก็สามารถติดตามได้นะครับ 🙂

Other : เล่าให้ตัวเองฟัง

นานมาแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้มา update อะไรในนี้เลย วันนี้เลยมาเขียนอะไรนิดๆหน่อยๆ

เดิมทีที่ blog นี้กะว่าจะทำเป็นที่เก็บข้อมูลและเผยแพร่แนวคิดต่างๆที่เกี่ยวกับให้ให้คนอื่นได้รู้บ้าง แต่ทำไปทำมา แรงจูงใจเริ่มหดหาย ไม่รู้เพราะไม่มีคนมาอ่านหรือความสม่ำเสมอมันหดหายกันแน่ 55555

คราวนี้เลยคิดว่าคงต้องปรับเปลี่ยนวิธีกันอีกที คราวนี้อาจจะเป็นแบบเล่าเรื่องให้ตัวเราเองซะมากกว่า เอาสิ่งที่คิด หรือสิ่งที่นึกได้ในแต่ละวันมาทยอยเขียนลงไปบ้าง ถือว่าเป็นบันทึกประจำวันเลยก็ได้ หวังว่าคราวนี้คงสม่ำเสมอกว่าเดิมนะ 555555

จำได้ว่าเมื่อก่อนสมัยอยู่มหาวิทยาลัยนั้นชอบเขียน Blog มาก แต่หลังๆโดน Social Media อื่นๆดึงเวลาและความสนใจไปหมดเลย จากคนที่ขยันเขียนดันกลายเป็นคนขยันคิดอย่างเดียว (แถมไม่ลองลงมือทำด้วยนะ)

ครั้งนี้ตั้งเป้าหมายไว้กับตัวเองไว้เลยดีกว่าแบบง่ายๆ เขียนให้ได้อาทิตย์ละ 3 เรื่องก็ยังดี การเขียนอาจจะไม่มีความเป็นวิชาการเลยอยู่ก็ได้ เพราะอาจจะเป็นการคิดออกแล้วก็เขียนเลย อาจจะไม่มีการเรียบเรียงคำพูดที่มันดี ดูเป็นทางการเท่าไหร่ เพราะจุดประสงค์คือ อยากให้กลับมาเขียน Blog อีกครั้ง และเขียนเพราะอยากเขียนจริงๆ แต่ถ้ามันแต่เรียบเรียงคำพูดสวยๆ คงหมดแรงก็ที่จะได้เขียนออกมาแน่นอน

ส่วนใครจะอ่านไม่อ่านนั้น ให้บอกกับตัวเองไว้เสมอว่า ที่นี่คือที่ถ่ายทอดสิ่งที่เรามีต่อไพ่ และอาจจะรวมถึงศาสตร์อื่นๆที่อยู่ในวงการนี้ บางครั้งอาจจะไปขัดความเชื่อใคร ตรงนี้ก็ต้องระวังเอาไว้หน่อย

เดิมทีเป็นคนที่ชอบค้นคว้า หาข้อมูลมายืนยันว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้นจริง เพราะงั้นบางทีกว่าจะได้มาเขียนอะไรซักเรื่อง ก็หมดเวลาไปกับการค้น หรือคุ้ยหาข้อมูลซะนาน เพราะฉะนั้นการเขียนต่อจากนี้คงเป็นอะไรที่ผสมปนเปไปหมด แต่ก็จะพยายามเรียบเรียงให้มันดีๆเข้าไว้ละกัน

กะว่าจะเขียนนิดเดียว ดันเขียนมาซะเยอะมาก เอาไว้แค่นี้ก่อนละกัน คราวหน้าจะเขียนเรื่องของตัวเองว่าที่ไปที่มาของการเข้ามาในศาสตร์ดูดวง หมอดู ดูไพ่ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันเริ่มมายังไง เป็นการเตือนตัวเองทางอ้อมว่า เอ็งเดินมาไกลมากแล้วนะ 555555

จบแบบนี้เลยละกัน ไม่อยากหาคำพูดสวยหรูมาใส่ 55555