Seminar : ZTAROT Part 3/3

เอาล่ะ มาถึง Part สุดท้ายของการไปสัมมนาครั้งนี้ ซึ่งใน Part นี้ผมจะมาเขียนถึงประสบการณ์ในภาคทำนาย โดยในครึ่งบ่ายเกือบทั้งหมดจะเป็นการดูตัวอย่างการทำนาย หรือพูดง่ายๆคือตัวอย่างดวงนั้นเอง ประมาณ 50 ดวงได้ และก็มีบททดสอบนิดๆหน่อยๆ เพิ่มให้ลองทดสอบสิ่งที่ได้เรียนมา

โดยหลักๆแล้ว หลักการที่สำคัญที่เขาได้สอนมานั้น คือให้พิจารณาจากตำแหน่ง เลข และธาตุ ตามลำดับ เพียงสามสิ่งนี้ก็สามารถทำนายได้ระดับหนึ่งแล้ว

สิ่งที่น่าสนใจในส่วนนี้คือ

  • การทำนายในบางครั้ง ไม่ได้ยึดตำแหน่งเป็นหลัก จะยึดจากความหมายของไพ่ที่เด่นชัดขึ้นมาก่อนเสมอ ทำให้รู้สึกสับสนอยู่บ้าง แต่โดยปกติตัวเองก็ใช้วิธีนี้อยู่แล้ว แต่แค่ขัดกับหลักที่เขาให้ในตอนต้นไปบ้าง
  • เรื่องจำนวนไพ่ดีและไพ่ไม่ดี ตรงนี้ทำให้สับสนพอสมควร เช่น
    • หากพบไพ่บางใบที่มีความหมายในเชิงลบเพียงใบเดียว อาจจะทำให้ไพ่ดีๆลดความหมายลงไปหมด เช่น Page of Sword ที่หมายถึงการพบเจออุปสรรคหรือแม้กระทั่ง King of Pentacle หากเจ้าชะตาเป็นหญิง
    • แต่บางดวง มีไพ่แย่ๆเหมือนกัน เช่น Tower แต่กลับไม่ค่อยส่งผลกระทบเท่าไหร่ เพราะว่าไพ่ดีเยอะ
      กว่า
    • แต่สุดท้ายแล้วในความคิดของตัวเองคือ ต้องดูไพ่รอบๆให้ทั่วก่อน การฟันธงลงไปในใบใดใบหนึ่ง มันอาจจะดูรีบร้อนเกินไปหน่อย เพราะน่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ในไพ่ใบอื่นๆ
  • การทำนายออกจะเป็นแนวบอกอนาคต และฟันธง เช่น เจ้าชะตาถามว่า จะได้งา5sนไหม คำตอบจากไพ่ คือได้ ซึ่งสิ่งที่ตัวเองคาดหวังคือ อยากได้การหาสาเหตุที่เกิดขึ้นจริงๆมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามส่วนตัวคิดว่า ถ้าทำนายแบบนี้ออกไปได้แล้ว การหาสาเหตุน่าจะตามมาอีกที (แต่ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาดูก็อยากได้คำตอบแนวนี้เช่นกัน)
  • ระบบเลขและธาตุส่วนใหญ่จะใช้ในการแปลความหมายของไพ่ มากกว่าการหาความสัมพันธ์ระหว่างไพ่ เช่น เช่น เลข 5 ธาตุลม แสดงความความล้มเหลวทางความคิด ปัญหา หรือ Hangman คือการสมมติ การปลอมแปลงเอกสาร หรือ 2 ธาตุดิน คือการมีเอกสารสำรอง?? ซึ่งไพ่แต่ละใบค่อนข้างจะมีความหมายอย่างโดดๆ แทบไม่ได้แลกเปลี่ยนความหมายกันในเชิง ตำแหน่ง เลข ธาตุ หรือราศีและดาว
  • Spread ที่ใช้งานมีหลักการที่น่าสนใจ คือ ให้ใช้ตามความซับซ้อนของคำถาม เช่น ถ้าคำถามไม่ยากมากนัก ก็ใช้แบบใบเดียว หรือ 3 ใบ ถ้าเป็นเรื่องยุ่งยากหรือจริงจังก็ให้ใช้ 10 ใบ และ Celtic cross ก็เป็นแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อน รวมถึงความหมายในแต่ละตำแหน่งก็พึ่งได้รู้ความหมายและวิธีใช้งานของมันจริงๆ (ซึ่งต่างจากตำราต่างประเทศมากๆ)

ภาพจาก www.astrosimple.com

 

สรุปสุดท้ายแล้ว การเข้าสัมมนาในครั้งนี้ ก็ได้เปิดมุมมองอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะความรู้เรื่อง Numerology ซึ่งแม้ว่าจะขัดกับสิ่งที่รู้มาบ้าง แต่ก็ได้ไอเดียใหม่ๆในอีกมุมมองหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้ไพ่ที่ผ่านการปลุกเสกมาเรียบร้อยแล้วเป็นของที่ระลึกอีกด้วย (แต่คงไม่ได้ใช่หรอกครับ 5555)

SDeck.jpg

ไพ่ที่ได้ในงาน

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากประเมินตามความคาดหวังแล้ว คงยังไม่ได้ตามคาดเท่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่องการเชื่อมโยงไพ่ในการทำนาย ซึ่งคาดหวังว่าจะมีการใช้ระบบธาตุ ระบบตัวเลข ระบบราศีและดาว มาก แต่กลับกลายเป็นว่าแทบไม่ได้ใช้เลย และอาจจะป็นเรื่องของเวลา เนื้อหาจึ่งค่อนข้างอัดแน่นและไม่ได้ถามอะไรเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตามก็ขอขอบคุณอาจารย์มากที่ได้แบ่งปันและมอบความรู้ในอีกมุมมองหนึ่งที่ไม่เคยได้เรียนรู้จากที่ไหน หวังว่าประสบการณ์ในครั้งนี้จะทำให้ตัวผมเองสามารถนำไปประยุกต์ใช้ และต่อยอดได้ต่อไป ขอบคุณมากครับ

ปล. ก่อนไปสัมมนาในครั้งนี้ได้หยิบไพ่ขึ้นมาใบหนึ่ง ซึ่งถามว่า จะได้อะไรจากการสัมมนาในครั้ง คำตอบก็เป็นไปดังภาพด้านล่างครับ

Temperance

ได้รู้อะไรใหม่ๆ และสามารถนำไปต่อยอด

Part อื่นๆ

Seminar : ZTAROT Part 2/3

หลังจากที่ผ่านในส่วนแรกที่เป็น Major มาแล้ว ในส่วนต่อมาเป็นเรื่องของไพ่ชุดเล็ก Minor โดยดูจากธาตุและตัวเลข ผสมกันจนได้ความหมาย ส่วน Court Card คือการผสมระหว่างฐานะและธาตุเข้าด้วยกัน (เรื่องธาตุไม่ค่อยขัดกัน ข้ามไปเลยก็แล้วกัน)

สิ่งที่น่าสนใจในหัวข้อนี้คือ

  • หมายเลข 1
    • สามารถแปลว่าความเป็นเอกภาพ หรือการเป็นโสดก็ได้เหมือนกัน
  • หมายเลข 2
    • คือการผสานกัน การรวมตัว ที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างที่ดีคือ ธาตุดิน หรือ 2 เหรียญ ด้วยความที่เป็นของแข็งทั้งคู่ การผสานเข้าหากันจึงน่าจะเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าเปรียบเทียบถึงกายภาพขนาดนั้น ธาตุลม (2 ดาบ) น่าจะเข้ากันได้ไม่ยาก แต่ทำไมถึงสามารถแปลในด้านลบได้ล่ะ น่าจะมีความหมายลึกๆซ่อนอยู่ แต่โดยส่วนตัวไพ่ 2 ดาบคือเริ่มมีปัญหา แต่ยังหาทางแก้ไม่ได้มากกว่า ยังไม่ถึงกับขัดแย้ง เพราะปัญหายังอยู่ที่ตัวคนใดคนหนึ่ง
  • หมายเลข 3
    • ที่น่าสนใจคือการแปลว่าความสำเร็จก็ได้ ทั้งๆที่มันยังเป็นเลขต้นๆ ซึ่งอาจจะหมายถึงความสำเร็จขั้นต้นก็เป็นได้
  • หมายเลข 4
    • ความมั่นคง การหยุดนิ่ง ซึ่งไพ่ที่น่าสนใจคือ 4 ไม้เท้า เพราะไพ่ความหมายค่อนข้างดี แต่พอไปจับ6pกับเรื่องอื่น ดันไม่ได้ส่งเสริมให้เรื่องราวมันดีขึ้น เพราะมันนิ่ง
  • หมายเลข 5
    • คือความพ่ายแพ้ ซึ่งตรงตัวกับไพ่ทุกใบ ที่น่าสนใจคือ 5 ดาบ ซึ่งไม่ได้มีการเจาะจงว่าผู้แพ้คือใครในภาพกันแน่ เพราะแบบนี้หรือเปล่าอาจารย์ท่านจึงไม่ได้ให้อ่านภาพก่อนเพราะจะทำให้สับสน
  • หมายเลข 6
    • อันนี้มีทั้งเข้าใจมากขึ้น และงงมากขึ้นในเวลาเดียวกัน เพราะที่ให้ความหมายคือ ความสำเร็จที่เกิดจากการให้ความสำคัญมาเป็นเวลานาน ที่งงสุดๆคงเป็น 6 เหรียญ ซึ่งภาพก็ไม่ได้สื่ออะไรที่ชัดเจน
      จริงอยู่ที่ 6 คือความสำเร็จที่ได้จากการพยายาม แต่เรื่องเวลามันมีความสำคัญขนาดนั้นหรือเปล่า
  • หมายเลข 7
    • ยิ่งงงกว่าหมายเลข 6 โดยเฉพาะ 7 ถ้วย โดยปกติ เลข 7 ในตำราต่างประเทศจะเป็นเลขที่แย่มาก บ่งบอกถึงอุปสรรค ความไม่แน่นอน ความเบี่ยงเบน แทบจะเป็นเลขที่แย่ที่สุด ซึ่งที่ได้เรียนมากลับกลาย7c thothเป็นการทำงาน การแข่งขัน การลงมือปฏิบัติ ซึ่งความหมายไพ่เป็นบวกมากแทบทุกใบ (ใน Thoth นี่ เน่าแทบทุกใบโดยเฉพาะ 7 ถ้วย)
  • หมายเลข 8
    • หมายถึงการขยับขยายเติบโตในแง่ของธาตุ แต่ว่าการขยับขยายควรมีความเคลื่อนไหว ซึ่งไม่มีใน เหรียญ ถ้วย และดาบ ทุกอย่างดูนิ่งมากๆ จนคิดว่า การขยายคือขยายความมั่นคงจาก 4 มาเป็น 8 หรือเปล่า คือมั่นคงยิ่งขึ้น
  • หมายเลข 9
    • หมายถึงการหยุดพัก การสิ้นกำลัง อันนี้เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ และยังขยายความสิ่งที่เคยรู้มาคือ เป็นเลขที่บ่งบอกถึงเรื่องราวที่ใกล้จะจบแล้ว ทุกอย่างอยู่ในสภาวะนิ่ง เพื่อรอให้ทุกอย่างมันจบ
  • หมายเลข 10
    • หมายถึงจุดสิ้นสุด อันนี้ก็ตรงกับที่เคยเรียนรู้มา แต่ที่เพิ่มเติมคือ สามารถบอกได้ว่า เป็นการพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ได้อีกด้วย

โดยรวมแล้ว ได้ความหมายใหม่ๆมาค่อนข้างเยอะ และเข้าใจไพ่มากขึ้น แต่ก็มีบางอย่างที่ขัดกับสิ่งที่รู้มา เช่น เลข 6 และ 7 แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นอีกมุมมองนึงที่น่าสนใจ

ส่วนเรื่องของ Court Card มีเรื่องที่น่าสนใจมากๆคือ

  • เรื่องของเพศของเจ้าชะตา กับเพศในไพ่ที่ปรากฏ
    • สำหรับ Queen ถ้าเจ้าชะตาเป็น หญิง ความหมายจะเป็นในเชิงบวก ถ้าเป็ยชาย ความหมายจะเป็นในเชิงลบ ประมาณว่า โดนดูถูกดูแคลน หรือความสามารถไม่ถึง
    • สำหรับ King ถ้าเจ้าชะตาเป็น หญิง ความหมายจะเป็นในเชิงลบนิดหน่อย ประมาณว่า ทำเกินหน้าที่ หน้าที่หนักเกินไป แต่ถ้าเป็นชาย ความหมายก็จะเป็นในเชิงบวก
  • ส่วนเรื่องอื่นๆก็คล้ายๆกับสิ่งที่รู้มา

จบในส่วนของ Part 2 ใน Part สุดท้าย จะเขียนถึงการอ่านไพ่ ซึ่งได้เจอมุมมองใหม่ๆที่น่าสนใจอยู่เยอะเลยทีเดียว (แม้ว่าบางอย่างจะขัดกับความรู้สึกก็ตาม)

Part อื่นๆ

Seminar : ZTAROT Part 1/3

เมื่อวันที่ 27 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปเข้า สัมมนาไพ่ทาโรต์ภาคพยากรณ์สู่ระดับมืออาชีพ รุ่นที่ 2 ที่จัดโดย ชมรมไพ่ทาโรต์และฮวงจุ้ย (ZTAROT) โดยผู้สอนคือ อาจารย์พรหมพจน์ วิบูลเตโชกิตติ์ (ซินแสซี)

โดยรวมของการสัมมนาในครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดมุมมองอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับไพ่ Tarot โดยเฉพาะเรื่อง Numerology และความหมายต่างๆในเฉิงลึกของไพ่แต่ละใบ โดยการเขียนครั้งนี้ อาจจะต้องแยกเป็นหลายตอนหน่อย เพราะมีเรื่องที่น่าสนใจเยอะทีเดียว

เริ่มต้นด้วยการอธิบายความโครงสร้างของไพ่และตัวเลขแต่ละตัว ตั้งแต่ 0-9 ของไพ่ Major กันก่อนละกัน

สิ่งที่น่าสนใจในหัวข้อนี้คือ

  • ไพ่ที่มีโครงสร้างหมายเลข 0
    • นอกจาก Fool แล้ว ยังรวมถึง Wheel และ Judgement อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่มีอะไร การเริ่มใหม่ และการสิ้นสุด ซึ่งทั้งหมดนี้ ลงท้ายด้วย 0
  • ไพ่ที่มีโครงสร้างหมายเลข 1
    • กล่าวถึงการเริ่มต้น ซึ่งที่น่าสงสัยคือ ไม่เคยคิดเลยว่า Magician หมายถึงการเริ่มต้น เพราะปกติจะคิดถึงคนที่มีความสามารถ ชอบแสดงออก จะว่าเป็นเพราะดาวพุธก็ไม่น่าจะใช่ เรื่องนี้คงต้องไปลองศึกษาเพิ่มดู

      HighPriestess.jpg

      เธอมีพันธะอะไรหรือเปล่านะ ??

  • ไพ่ที่มีโครงสร้างหมายเลข 2
    • เป็นเลขแห่งพันธะ ซึ่ง Justice และ Judgement  ต่างก็มีพันธะในเรื่องของผมของการกระทำ
    • แต่
       ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับพันธะอย่างไร และไพ่ใบนี้เป็นไพ่ที่มีปัญหามากเวลาทาย คือแปลไม่ถูก มักจะอ้างอิงกับคนที่เป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่ แต่อาจารย์ได้ให้หลักการไว้ประมาณว่า เป็นความลับ ความไม่รู้ สิ่งที่ปิดบัง มีสิ่งที่หลบซ่อนอยู่ พูดง่ายๆคือถ้าเจอไพ่ใบนี้แปลว่า ยังอาจจะหาคำตอบไม่ได้ หรือมีความลับซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นหลักการที่ทำให้เข้าใจอะไรขึ้นเยอะเลย
  • ไพ่ที่มีโครงสร้างหมายเลข 3
    • คือการวิวัฒนาการ ถ้ามอง Empress กับ World ก็ง่ายหน่อยเพราะมันเห็นภาพ แต่อย่าง Hangman (เบอร์ 12) ได้ให้หลักการไว้ว่าเป็นเรื่องสมมติ เรื่องไม่จริง เรื่องมโน เพราะได้รับผลมาจากดาวเนปจูน จะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการ หรือความสำเร็จได้ยังไงนะ หรือว่าจะเป็นการทรมาน หรือทำร้ายตนเองด้วยความคิด จนเข้าใจในสิ่งต่างๆ เหมือนการบำเพ็ญทุกรกิริยา
  • ไพ่ที่มีโครงสร้างหมายเลข 4
    • ความมั่นคงและแน่นอน ซึ่งทั้ง Emperor แล้ว ยังมี Death รู้สึกได้แบบนั้น เป็นแนวคิดที่รู้สึกทำให้เข้าใจไพ่มากขึ้น

      Temperance.jpg

      สายกลาง….

  • ไพ่ที่มีโครงสร้างหมายเลข 5
    • อันนี้ตามตำราหมายถึงการดำรงอยู่ทางสายกลาง
    • อืมมม… Temperance (เบอร์ 14) โดยปกติเราจะคิดว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้พบในสิ่งที่ดีกว่า ใหม่กว่า แต่เพราะเป็นไพ่ที่มีโครงสร้างที่เดียวกับ Hierophant ความหมายจึงต้องคล้ายๆกัน คือการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่สมดุล หรือจนกว่าจะเข้ากันได้ (สายกลาง) อีกครั้ง
  • ไพ่ที่มีโครงสร้างหมายเลข 6
    • Lover กับ Devil ซึ่งน่าประหลาดใจมากที่ไพ่ 2 ใบนี้อยู่ในโครงสร้างเลขเดียวกัน ซึงกล่าวถึงความชอบและความลุ่มหลงได้เหมือนกัน
  • ไพ่ที่มีโครงสร้างหมายเลข 7
    • Chariot และ Tower มีพลังถึงความเคลื่อนไหว การที่ต้องต่อสู้เพื่อความมั่นคง ซึ่งทั้งสองใบเป็นอะไรที่สามารถสื่อในทางเดียวกันได้ แม้ว่ามันจะเป็นไพ่จากราศีกรกฎ และ ดาวอังคารก็ตาม (ทั้งสองไม่น่าเข้ากันได้ในแง่ของความหมายและธาตุ)
  • ไพ่ที่มีโครงสร้างหมายเลข 8
    star.jpg

    แผ่ขยาย

    • เป็นการแผ่ขยายให้ยิ่งใหญ่ ซึ่งยิ่งดูก็ค่อนข้างสับสน ในส่วนของ Strength อาจจะเป็นการขยายความสำเร็จในใจที่สามารถควบคุมสิ่งรอบข้าง หรือสิ่งที่กลัวได้ ส่วน Star คือมีความหวัง (แล้วมันแผ่ขยายยังไงนะ) ซึ่งตรงนี้คงต้องศึกษาตำราอื่นๆเพิ่มเติม
  • ไพ่ที่มีโครงสร้างหมายเลข 9
    • เป็นความเสื่อมสภาพ และความเดียวดาย ซึ่ง Moon ค่อนข้างชัด แต่ถ้าให้ Hermit แสดงถึงความแก่ ความชรา ความหมดแรง ก็อาจจะขัดจากที่ศีกษามาว่า Hermit คือผู้ที่เรียนรู้จนแตกฉาน รู้ถึงแก่นแล้วถึงจุดยอดของศาสตร์นั้น และที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้น คือไม่สุงสิงกับใคร แต่เป็นการรอให้คนอื่นเข้ามาหามาเข้าใจมากกว่า ซึ่งเป็นอีกความหมายนึงที่น่าสนใจ

 

 

สำหรับใน Part 1 ก็คงจะประมาณนี้ ใน Part ถัดไปจะเป็นในส่วนของ Minor และ Court Card และอาจจะมี Part สุดท้ายเพื่อสรุปอีกทีหนึ่ง อย่างไรก็ลองติดตามกันดูนะครับ